คาถาแก้ปัญหา
ในงานเลี้ยงนักเขียนของบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) มีรุ่นน้องคนหนึ่งที่ไม่เจอกันมานานเดินมาคุยด้วย เขาบอกว่าอยากเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังมานานแล้ว เป็นเรื่องที่บทสัมภาษณ์ของผมในนิตยสารอิมเมจเมื่อประมาณ 1-2 ปีก่อน “ตอนนั้นหนูกำลังมีปัญหาใหญ่มากไม่รู้จะแก้อย่างไรพอดีได้อ่านที่พี่บอกว่า ปัญหาในโลกนี้มีอยู่ 2 อย่าง คือ ปัญหาที่แก้ได้ และปัญหาที่แก้ไม่ได้ ให้แก้ปัญหาที่แก้ได้ก่อน อ่านแล้วคลิกเลย ขอบคุณมากพี่”พูดจบเธอก็จากไป ทิ้งไว้แต่อาการ “พองโต” ในอารมณ์ของผม ไม่น่าเชื่อว่า แนวทางในการแก้ไขปัญหาแบบ “กำปั้นทุบดิน” จะได้ผล
จริงๆแล้วคำพูดนี้เป็นของ “ น้าชาติ “ พล.อ.ชาติชาย ชุญหะวัณ อดีต นายกรัฐมนตรีเจ้าของวรรคทอง “ ไม่มีปัญหา” ถือเป็นคำเก๋ไก๋ที่เอาไปใช้แนะนำพี่-เพื่อน –น้อง เวลาที่ช่วยหาทางออกในชีวิตให้เขาไม่ได้ เป็นข้อสรุปที่คมคาย แต่เจ็บมือน่าดูเลยถ้าใช้ทฤษฎี “น้าชาติ” มาใช้ในการแก้ปัญหา ปัญหาในโลกนี้ก็จะมีอยู่ 2 แบบ คือ ปัญหาที่แก้ได้ กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ ถ้าใครสะสม “ปัญหา” เป็นงานอดิเรก หากแยกแยะปัญหาเป็นหมวดหมู่ตามทฤษฎีดังกล่าว เราก็จะเริ่มต้นนับ 1 ได้ว่า จะเริ่มแก้ปัญหาไหนก่อน ปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ก็อย่าไปพยายามดิ้นรนหาทางแก้ไข เพราะอย่างไรก็แก้ไม่ได้อยู่แล้ว เสียทั้งเวลา และปัญหาก็ยังอยู่เหมือนเดิม ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ สู้เอาเวลามาใช้กับปัญหาในหมวดที่แก้ไขได้ดีกว่า ถ้าทฤษฎีนี้น้องๆยังไม่เชื่อถือ ผมจะเริ่มเอาธรรมะเข้าขย่มทันทีด้วยการแอบอ้างเรื่องของหลวงปู่ชา สุภัทโท ซึ่งอ่านมานานแล้ว แต่แปลกที่พูดกี่ครั้งก็ไม่เหมือนเดิมสักที ใจความสำคัญถูกต้องแต่รายละเอียดจะปรับแต่งตามลักษณะปัญหาแต่ละตัวบุคคล เป็นธรรมะแบบ “ดิ้น” ได้เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งมีคนที่มีปัญหาชีวิตหนักมากมาขอให้หลวงปู่ชาช่วยแก้ปัญหา เขาเล่าเรื่องราวในชีวิตให้หลวงปู่ฟัง เป็นปัญหาที่ใหญ่โตมโหฬาร โยงใยกันวุ่นวายไปหมด อาจารย์ชานั่งฟังอย่างสงบนิ่ง รอให้เขาระบายความทุกข์จนหมดแล้วท่านก็ชี้นิ้วไปที่ก้อนหินก้อนใหญ่มากก้อนหนึ่งแล้วถามว่า “โยมผลักหินก้อนนี้ไหวไหม”โยมผู้มากด้วยปัญหา ส่ายหน้า “ไม่ไหวครับ”“แล้วก้อนนั้นล่ะผลักไหวไหม” อาจารย์ชาชี้ไปที่ก้อนหินอีกก้อนหนึ่งที่เล็กกว่าก้อนแรกครึ่งหนึ่งเขามองแล้วตอบทันที “ไหวครับ” หลวงปู่ชาจึงเริ่มเทศนาธรรมว่าหินก้อนแรกก็เหมือนกับปัญหาของโยม ผลักก็ไม่ไหว เคลื่อนก็ไม่ได้ ถ้าเราพยามแข็งขืนที่จะผลักต่อไปก็เหนื่อยเปล่า เพราะมันใหญ่เกินกว่าแรงของเรา แต่ถ้าเราปล่อยให้ฝนตก ลมพัด หินก้อนแรกก็จะกร่อนลงจนเหลือเท่ากับหินก้อนที่สอง เมื่อนั้นถ้าเราผลัก หินก้อนนั้นก็จะเคลื่อนตัวได้“ปัญหาบางปัญหาคิดไปก็เท่านั้น ทุกข์ใจเปล่าๆ เพราะมันยิ่งใหญ่เกินแก้ไข แต่ถ้าปล่อยไว้เวลาอาจช่วยได้ อาจมีตัวแปรอื่นมาช่วยทำให้ปัญหาเบาลงหรือเปลี่ยนไป สุดท้ายเมื่อปัญหาอยู่ในระดับที่เราแก้ไขได้ เมื่อนั้นเราค่อยคิดแก้ปัญหา” ประโยคสุดท้าย อาจารย์ชาไม่ได้เทศน์หรอกครับ ผมเติมเองคนเรานั้นชอบมองปัญหาแบบ ”หยุดนิ่ง” คือสภาพคงเดิมไม่แปรเปลี่ยนคิดว่าขนาดของปัญหาเท่าไรก็เท่านั้น รูปร่างแบบใดก็แบบนั้นความจริง ”ปัญหา” ก็เหมือนคน บางวันอ้วน อีก 3 เดือนผอม บางวันหน้าใส บางวันสิวขึ้น เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และตัวแปรต่างๆมากมายเพื่อนผมคนหนึ่งอกหัก สาบานกับผมที่ธรรมศาสตร์ว่าต่อไปนี้จะไม่รักใครอีกแล้วนอกจาก ”ไก่” คนเดียววันนี้มันแต่งงาน 2 ครั้งแล้ว มันอ้างว่า เพราะมันเป็นคนรักเพื่อน และให้โอกาสเพื่อนเสมอ แต่งงานครั้งแรกเห็นว่าผมไม่ยอมไปร่วมงานก็เลยให้โอกาสเพื่อนอีกครั้งด้วยการแต่งงานใหม่ … กับผู้หญิงอีกคนในขณะที่เราใช้ “ความเปลี่ยนแปลง” มาเป็น “ยาชา” ในการแก้ปัญหา ในมุมกลับบางครั้ง “ความเปลี่ยนแปลง” ก็คือ “ปัญหา”“ปัญหา” หนึ่งที่มีคนชอบมาคุยด้วยมากที่สุดคือ เรื่องความเปลี่ยนแปลง มีทั้งจะลาออกดีไหม จะไปเรียนต่อดีหรือเปล่าหรือการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ผมเคยบอกน้องๆที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเสมอว่า คนส่วนใหญ่จะกลัวความเปลี่ยนแปลงเพราะแรงเสียดทานของ “ความเคยชิน” เมื่อมี “สิ่งใหม่” เข้ามาในชีวิตเราจะรู้สึกกลัวเหมือนที่เรากลัว “ผี” กลัวในสิ่งที่ไม่เคยเห็น กลัวในจินตนาการที่เสริมแต่งของเราเอง ทุกคนลืมประวัติศาสตร์สมัยเด็กเมื่อเราเคยอยู่โรงเรียน พอจะย้ายโรงเรียนก็เริ่มคร่ำครวญถึงความผูกพันในวันนั้นรักเพื่อนหนักหนาและต่อไปเราจะเจอกันทุกสัปดาห์ เข้าโรงเรียนใหม่ได้ไม่นาน ก็ปรับตัวได้เจอเพื่อนกลุ่มใหม่ และเริ่มเหินห่างเพื่อนเก่า ทั้งที่วันแรก บางคนแสนจะเหม็นหน้าเพื่อนใหม่บางคนเหลือเกิน และถวิลหาเพื่อนเก่าเหลือหลาย แต่เพียงไม่กี่ปี แค่เจอ ”เพื่อนเก่า” ก็ไม่รู้จะคุยอะไรกัน เพราะไม่เจอกันนาน“ปัญหา” ไม่หยุดอยู่กับที่ ความรู้สึกของคนก็เหมือนกัน มันจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่คนส่วนใหญ่ “ขี้ลืม” ลืมไปว่าทุกครั้งของการเปลี่ยนแปลง เรามักจะกลัวมันก่อนเสมอ แต่ผลสุดท้ายเราก็สามารถปรับตัวได้เมื่อน้องๆมาปรึกษาก่อนจะถึงคาถาของ พล.อ.ชาติชาย และหลวงปู่ชา ซึ่งผมจะใช้เป็น “คำตอบสุดท้าย” เมื่อไม่รู้จะขุดอุโมงค์ออกจากความมืดมิดอย่างไรผมจะแนะน้องๆให้มอง “ความเปลี่ยนแปลงในแง่บวก” รำลึกอดีตเล็กน้อยเพื่อให้รู้เท่าทัน “ความเปลี่ยนแปลง” ว่าความรู้สึกวันนี้ ไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นของ “โบราณ” ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต เพียงแค่เปลี่ยนตัวละครและฉากใหม่เท่านั้นเองผมเชื่อว่าการคิดแก้ปัญหาความเปลี่ยนแปลงด้วยการไม่ยอมเปลี่ยนแปลง จะเสียเวลาและเสียแรงเยอะ แทนที่จะพยายามฝืนโลกให้หยุดนิ่ง สู้เอาเวลามาคิดว่าจะอยู่กับความเปลี่ยนแปลงใหม่ให้มีความสุขได้อย่างไรดีกว่าผมชอบคำพูดที่ว่าคนที่มีความสุขไม่ใช่คนที่ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่คือคนที่ชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ และทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น ให้มองตัวเราก่อนอย่าเพิ่งชี้นิ้วไปที่คนอื่น เพราะการแก้ปัญหาที่ตัวเองจะง่ายที่สุด คนอื่นเราเปลี่ยนเขายาก แต่ตัวเรา เราเปลี่ยนได้ง่ายที่สุด เมื่อน้องๆ เริ่มพยักหน้ารับฟัง ผมก็จะตบท้ายว่าปัญหานี้เป็นของคุณ “คุณต้องแก้เอง” สุดท้ายใครที่มาปรึกษาก็จะออกไปแบบงงๆ เพราะไม่ได้หนทางแก้ปัญหาเลย แต่ถ้าใครหวนกลับมาอีกหน ก็จะเจอคาถา พล.อ. ชาติชาย และหลวงปู่ชา “ดูหินก้อนนั้นสิ…”คัดลอกมาจาก คอลัมน์ ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ของ หนุ่มเมืองจันท์ หนังสือ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับจันทร์ที่ 13 ส.ค.44
Relate topics
- เทคนิคการพ่วงแบต
- งานของวิศวกร
- อยากมีสวนผักแบบนี้
- สิ่งที่ฟรีแลนซ์ต้องเขียนในใบสัญญา
- ไม่ต้องยืนทำงานก็ได้ แต่ขอโต๊ะทำงานโค้ง ๆ ใหญ่ ๆ
- 10 วิธีที่ฟรีแลนซ์ก็สามารถทำเพื่อให้ผู้ร่วมงานของเราไม่มีวันลืมได้เช่นกัน
- The Big History Project
- หาดใหญ่มี 4G แล้ว
- Photo voice
- ไฟดับอีกแล้ว
- ปรับ Theme
- ไฟดับทั้งภาคใต้ ข้าพเจ้ากลับไม่ตื่นตระหนก
- บ้านไม้พาเลท กับแผงโซล่าเซลล์ รักษ์โลกฝุดๆ
- แผนพัฒนาภาคใต้
- สะพานไม้หมาก
- เงา
- เงื่อน
- ร้องให้สุดคำ รำให้สุดแขน
- My Song
- ของขวัญปีใหม่'55 Lenovo Z470