ก๊วนซอฟท์แวร์ </softganz> SoftGang (Gang Software)

Web &amp; Software Developer Gang.

611 items|« First « Prev 14 15 (16/62) 17 18 Next » Last »|
โดย Little Bear on 20 ต.ค. 57 11:25

Steve Souders ได้เรียงประสิทธิภาพของ selectors ในแบบต่างๆ เอาไว้ดังนี้

  1. ID – #header
  2. Class – .post
  3. Tag – div
  4. Sibling – h1 + p, h1 ~ p
  5. Child – ul > li
  6. Descendant – ul li
  7. Universal – *
  8. Attribute – [type="text"]
  9. Pseudo-classes, Pseudo-elements – a:hover, p::first-letter

ส่วน เขียน CSS Selectors อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ? นั้น www.siamhtml.com เขียนอธิบายไว้ดีมาก ลองตามไปอ่านดูนะครับ

โดย Little Bear on 16 ต.ค. 57 00:24

ขออนุญาตแปะข่าวจาก blognone.com นะครับ

เนื่องจาก smart phone เครื่องที่ใช้อยู่ปัจจุบันกำลังจะถูกยึด เลยเล็ง ๆ หาตัวใหม่ หากตัวนี้เข้าเมืองไทย และพอจะหาซื้อได้ ก็คงจะตัดใจซื้อ หนาหน่อย หนักหน่อย แต่ความเป็น Moto ก็คงต้องหนักแน่นอย่างนี้แหละ

ข่าวตามนี้


ลือสลับกันไปมาระหว่างจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิก กับโครงการ Nexus ของกูเกิล รวมไปถึงภาพหลุดต่างๆ จนในที่สุดกูเกิลก็ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนตระกูล Nexus รุ่นล่าสุดในชื่อ Nexus 6 แล้ว โดยสเปคและตัวเครื่องไม่ได้แตกต่างจากที่หลุดมามากนัก (บอดี้เหมือน Moto X 2014) ขณะที่สเปคอย่างเป็นทางการมีดังต่อไปนี้ครับ

  • หน้าจอ AMOLED ขนาด 5.96 นิ้ว ความละเอียด QHD (1440x2560) ความหนาแน่น 493 ppi
  • หน่วยประมวลผล Snapdragon 805 ควอดคอร์ความถี่ 2.7 GHz
  • กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล f2.0 พร้อม OIS และแฟลชคู่ รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K ที่ 30fps กล้องหน้า 2 ล้าน
  • แบตเตอรี่ 3,220 mAh พร้อม Turbo Charge ของโมโตโรลา ทำให้ชาร์จเทียบเท่า 6 ชั่วโมงได้ใน 15 นาที
  • มาพร้อมเซ็นเซอร์ Accelerometer, Gyroscope, Magnetometer, Ambient light sensor และ Barometer
  • รองรับ Wi-Fi 802.11ac (MIMO 2x2), Bluetooth 4.1 และ NFC
  • micro USB 2.0
  • nano Sim
  • ความจุ 32 GB และ 64 GB
  • รันแอนดรอยด์ 5.0 Lollipop
  • หนา 10.6 มม. หนัก 184 กรัม
  • มี 2 สีคือ Midnight Blue และ Cloud White

ทั้งนี้ Nexus 6 จะจำหน่ายในราคาประมาณ 20,100 บาท และจะวางจำหน่ายต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ครับ

 คำอธิบายภาพ : kqnx6

ที่มา - Google, The Verge ผ่าน Blognone.com

ปล. ถ้าไม่มา เอา Huawei Honor 4X น่าจะราคาอยู่ที่ประมาณ 4,750 บาท เท่านั้น มาใช้แทนก่อนสักพักก็ได้นะ

คำอธิบายภาพ

โดย Little Bear on 15 ต.ค. 57 23:54

W. Randall Jones เขียนหนังสือชื่อ The Richest Man In Town โดยการสัมภาษณ์และวิเคราะห์คุณสมบัติ นิสัย แนวความคิด ปรัชญาการใช้ชีวิต และอื่น ๆ ของคนที่รวยที่สุดในเมืองต่าง ๆ ของอเมริกาจำนวน 100 คน เขาพบลักษณะร่วมของคนที่เป็นมหาเศรษฐี 12 ประการ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1) ไม่หาเงินเพื่อเงิน การทำอย่างนั้นคุณจะไม่ได้เงิน เงินจะมาก็ต่อเมื่อคุณทำในสิ่งที่ถูกต้อง และด้วยวิธีที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่คุณรักและมีความหลงใหลที่จะทำ คุณต้องทำในสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ แล้วเงินจะมาเอง มันเป็นผลพลอยได้ ในมุมของ VI หรือนักลงทุนเน้นคุณค่า ผมคิดว่ามันถูกต้องตรงกัน อย่าลงทุนแบบจ้องหาหรือหมกมุ่นกับผลตอบแทนเกินไป มีความสุขกับการลงทุน ทำหรือเลือกลงทุนอย่างถูกต้อง เงินจะมาเอง

2) รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ที่สำคัญต้องรู้ว่า อะไรคือความสามารถหรือความเชี่ยวชาญที่สุดของตัวเอง ถ้าคุณคิดว่าต้องไปทำงานทุกวัน นั่นก็ผิดแล้ว งานจะไม่ใช่งานถ้าคุณทำแล้วมีความสุขและเป็นสิ่งที่คุณอยากทำ วอเร็น บัฟเฟตต์เคยบอกกับซูซี่อดีตภรรยาที่ล่วงลับไปในตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ว่า เขาจะต้องรวย เหตุผลไม่ใช่เพราะเขาทำงานหนักหรือมีความเก่งเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะเขาเกิดมาด้วยทักษะที่ถูกต้อง ในสถานที่ที่ถูกต้อง และในเวลาที่ถูกต้อง นั่นคือ ทักษะในการจัดสรรเงินทุน หรือก็คือ การลงทุนนั่นเอง

3) เป็นนายของตัวเอง คุณไม่สามารถรวยได้โดยการทำงานให้คนอื่น เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายกับ Value Investor เพราะนักลงทุนนั้น ทุกคนเป็นนายของตัวเอง

4) เสพติดความทะเยอทะยาน คนเราทุกคนต่างก็เสพติดอะไรบางอย่างหรือหลายอย่างในชีวิต เราติดกาแฟ ติด Internet ติดเหล้า ติดเซ็กส์ ติดอำนาจ เราต้องคิดว่าติดอะไรแล้วจะเป็นประโยชน์ มหาเศรษฐีบอกว่า “ไม่มีความมั่งคั่งถ้าไม่มีความทะเยอทะยาน” ทำอะไรสำเร็จแล้วก็ต้องพยายามทำให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานนั้นมีด้านมืด มันอาจทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไปและเป็นอันตราย ความทะเยอทะยานนั้นควรจะมีวัตถุประสงค์ชัดเจนและเราจะต้องไม่ปล่อยให้มันอยู่เหนือการควบคุมของเรา

5) ตื่นเช้า มาถึงก่อน เริ่มตั้งแต่อายุน้อย ในเรื่องของการทำงานทั่วไปและในฐานะของผู้บริหารหรือผู้ประกอบการนั้นผมคิดว่าต้องทำทั้งสามเรื่อง แต่ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่าการเริ่มตั้งแต่อายุน้อยนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงและเป็นเศรษฐีได้ง่ายที่สุด แนวทางข้อนี้ค่อนข้างจะต้องสัมพันธ์กับข้อสอง นั่นคือ ถ้าคุณสามารถค้นพบตัวเองว่าเก่งทางไหนตั้งแต่อายุน้อย ความสำเร็จก็ไม่หนีไปไหน

6) อย่าตั้งเป้าหมาย ลงมือทำให้สำเร็จทีละน้อย เดินหน้าไปทุกวัน เป้าหมายหรือแผนธุรกิจนั้น พอเขียนเสร็จก็ล้าสมัยแล้ว มหาเศรษฐีบางคนไม่มี Business Plan และไม่ตั้งแม้แต่เป้ายอดขายด้วยซ้ำ ข้อนี้ฟังดูเหลือเชื่อ ผมคิดว่าเป้าหมายคงอยู่ในใจและเป็นเป้ากว้าง ๆ ที่จะช่วยบอกทิศทาง พวกเขาเน้นที่การปฏิบัติว่าต้องได้ผลมากกว่าการตั้งเป้าแต่ปฏิบัติไม่สำเร็จ นักลงทุนเองก็ควรคิดว่า Execution หรือการปฏิบัตินั้น สำคัญกว่าเป้าหมายมาก ถ้าเราลงทุนแล้วพอร์ตเราโตขึ้นเรื่อย ๆ นี่แหละความสำเร็จ

7) อย่ากลัวความล้มเหลว ทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จก็คือ กล้าที่จะล้มเหลว และล้มเหลวต่อหน้าสาธารณชนด้วย ทุกคนจะต้องเคยล้มเหลวมาบ้าง ไม่มีใครประสบความสำเร็จตลอดโดยที่ไม่มีความล้มเหลวมาคั่น ถ้าเรากลัวความล้มเหลว เราจะไม่กล้าทำอะไร ว่าที่จริง ไม่มีคำว่าล้มเหลวยกเว้นว่าคุณจะเลิก การลงทุนนั้นก็เช่นเดียวกัน ไม่มีทางที่คุณจะประสบความสำเร็จตลอด อย่าเลิกเมื่อขาดทุนหนัก สู้ต่อไป วันหนึ่งเราจะชนะ

8) ทำเลไม่สำคัญ ทำเลที่ว่านี้คือสถานที่ที่คุณอยู่หรือที่ที่คุณทำงาน ไม่ว่าคุณจะอยู่เมืองไหน คุณสามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ต้องย้ายไปอยู่เมืองใหญ่หรือเมืองธุรกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่เรามีเครือข่ายการสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพ ว่าที่จริง บัฟเฟตต์นั้น อยู่ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา ซึ่งเป็นเมืองทางการเกษตรมาตั้งแต่เริ่มธุรกิจลงทุนเมื่อ 50 ปีก่อนที่การสื่อสารยังไม่ดีนัก แทนที่จะอยู่ที่นิวยอร์คหรือบอสตันที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุน ผมเองคิดว่านักลงทุนไม่จำเป็นต้องอยู่ที่กรุงเทพถึงจะประสบความสำเร็จในการลงทุน ว่าที่จริง ยิ่งห่างอาจจะยิ่งดี

9) ยึดมั่นในจรรยาบรรณทางธุรกิจ นี่เป็นกฎเหล็กที่สำคัญที่สุด วอเร็น บัฟเฟตต์ พูดว่า “ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีในการสร้าง แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีในการทำลาย ดังนั้นคุณต้องสำนึกไว้ตลอดเวลา”

10) เน้นที่การขาย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกว่าบางสิ่งบางอย่างจะถูกขายออกไป นักลงทุนไม่ได้ขายอะไร แต่ต้องรู้ว่า บริษัทที่เราลงทุนนั้นขายอะไร และการขายเป็นหัวใจของความสำเร็จของบริษัท และเป็นความสำเร็จของราคาหุ้น ในความรู้สึกของผม ผมคิดว่า VI จำนวนมากชอบดูกำไรซึ่งเป็นบันทัดสุดท้าย แต่ไม่ค่อยดูยอดขายที่เป็นบันทัดแรกในงบการเงิน

11) ขอยืมไอเดียจากคนที่เก่งที่สุดและคนที่แย่ที่สุด การอ่านประวัติและวิธีคิดของคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด อย่างการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น ผมคิดว่าไม่มีอะไรมาทดแทนได้

12) ไม่มีวันเกษียณ การเกษียณจะทำให้ชีวิตคุณล้มเหลว การเกษียณเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การเกษียณเป็นอันตรายต่อความสนุกในชีวิต อันตรายต่อความมั่งคั่งส่วนตัว นักลงทุนไม่มีวันเกษียณ บัฟเฟตต์ และ มังเจอร์ อายุเกือบ 80 ปีแล้วยังทำงานทุกวัน แม้แต่ปีเตอร์ ลินช์ หรือ จอห์น เนฟฟ์ ที่เกษียณจากการบริหารกองทุนรวมแต่พวกเขาก็ยังบริหารกองทุนส่วนตัวอยู่

ขอบคุณบทความจากอาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ///นักเจาะแก่นเบอร์9

ที่มา เจาะแก่น VI

โดย Little Bear on 3 ต.ค. 57 22:40

เคยลองลงโปรแกรมและลองเขียน Android app มาครั้งนึง นานมากแล้ว จนกระทั่งเวลาผ่านไป โปรแกรม IDE ที่ใช้งานก็ใช้ไม่ได้ ลองลงหลายตัวแล้วก็ไม่เวิร์ค

คราวนี้กลับมาลอง Android Studio อีกรอบ

เริ่มด้วยการลง Android Studio ติดตั้งได้จาก Android Studio for Ubuntu ซึ่งเป็นการสร้าง new keystore เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับการ build app แต่ละครั้ง และทุกครั้งก็ต้องใช้ไฟล์นี้ หากไฟล์นี้หายละก็ แย่เลย เราจะไม่สามารถ build app เพื่อส่งขึ้นไปได้ หากสร้าง keystore ใหม่ก็จะต้องเปลี่ยนชื่อ app ไปเลย ต้องรักษาไฟล์ไว้ให้ดี ๆ อย่างให้หายเชียว

sudo apt-add-repository ppa:paolorotolo/android-studio
sudo apt-get update
sudo apt-get install android-studio

หลังจากเขียน app เสร็จแล้วก็ต้อง build apk เพื่อส่งขึ้น Play Store ด้วย Signing Your Applications

ตอนนี้ก็ได้ลองเขียน app แรก คือ HatyaiCityClimate.Org ยังเป็น app ที่ทำเพียงแค่ไปโหลดหน้าเว็บแอพที่เขียนเตรียมไว้มาแสดง ทำแค่นั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่คิดไว้ เช่น การรายงานสถานการณ์น้ำท่วมด้วยการถ่ายรูปพร้อมพิกัดจาก GPS และบอกเล่าสถานการณ์น้ำท่วม เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมมาวิเคราะห์ในภายหลัง และการทำแผนที่เสี่ยงภัย แผนที่เครือข่าย แผนที่จุดอพยพ จุดจอดรถ เส้นทางเคลื่อนย้าย การจราจร และอีกหลายไอเดีย จะค่อย ๆ ศึกษาและเขียนเพิ่มเติมในภายหลัง

โดย Little Bear on 26 ก.ย. 57 10:28

มีข่าว แอดมินระวัง เริ่มพบการโจมตีช่องโหว่ Bash Shellshock แล้ว มาถึงแล้ว

วันนี้เริ่มมีแจ้งเตือน update มาแล้ว ก็เริ่มดำเนินการกันเลย

ก่อนอื่นลองทดสอบกันดูก่อนว่า bash เรามีช่องโหว่หรือไม่ด้วยคำสั่ง

env 'VAR=() { :;}; echo Bash is vulnerable!' 'FUNCTION()=() { :;}; echo Bash is vulnerable!' bash -c "echo Bash Test"

หากขึ้นข้อความว่า

Bash is vulnerable!
Bash Test

แสดงว่า bash เรามีช่องโหว่นะจ๊ะ

แต่หากขึ้นแค่

Bash Test

ก็แสดงว่าปลอดภัยแล้ว

ส่วนวิธีอัพเดทก็มีหลายวิธีแล้วแต่ค่ายของ Linux ลองตามไปดูต้นฉบับกันจะดีกว่า

โดย Little Bear on 20 ก.ย. 57 10:31

คุณลักษณะที่สําคัญ 3 ประการของ Big Data คือ Volume, Variety และ Velocity

  • Volume: ปริมาณข้อมูล จะมีขนาดใหญ่ ตั้งแต่ระดับ Terabytes Petabytes ไปจนถึง Zettabytes
  • Variety: ชนิดของข้อมูลที่มีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็น Structured, Semi-Structured หรือจะเป็น Unstructured Data โดยเฉพาะ Unstructured Data ซึ่งเป็นชนิดข้อมูลที่ถูกพูดถึงพร้อมกับ “Big Data”
  • Velocity: มีการให้ความสําคัญ ความน่าสนใจกับข้อมูลประเภท “Real-Time” อย่า งมากว่าจะนํามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้ละเลยข้อมูลประเภทอื่น
โดย Little Bear on 10 ก.ย. 57 19:53

ปกติแล้วเราจะตั้งชื่อ class กันตามใจฉัน หากหน้าเว็บมี element สัก 10 ตัว ก็คงไม่เป็นไร แต่ในความเป็นจริงเรามี element นับเป็นร้อย ๆ ในที่สุด ชื่อ class เราก็มั่วไปหมด แล้วเวลากลับมาแก้ไขภายหลังก็เลยมั่วสุด ๆ

BEM คืออะไร ?

BEM หรือ “Block Element Modifier” คือวิธีการตั้งชื่อ class อย่างเป็นระบบ เพื่อที่จะทำให้เราสามารถไล่โค้ดได้ง่าย และลดความซ้ำซ้อนของโค้ด โดยการตั้งชื่อ c**lass ด้วยวิธี BEM นั้น จะดูจากหน้าที่ของ html element นั้นๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบ ด้วยกัน ดังนี้

  • Block กล่องอะไรก็ตามที่อยู่ได้โดยอิสระ (เช่น กล่อง search, กล่อง log in, เมนูหลัก เป็นต้น)

  • Element องค์ประกอบต่างๆ ของ Block (หาก Block เป็นคน Element ก็หมายถึงแขนขาของคนนั่นเอง)

  • Modifier ใส่ให้กับ Block หรือ Element ที่มีสไตล์เฉพาะตัว (Modifier ของ Block ก็เช่น คนที่เป็นผู้หญิง ส่วน Modifier ของ Element ก็เช่น แขนข้างซ้าย เป็นต้น)

วิธีการตั้งชื่อ class ก็ตามด้านล่าง คือ

/* สไตล์สำหรับ Block */
.block { }
<br />
/* สไตล์สำหรับ Element ต่างๆ ภายใน Block */
.block__element { }
<br />
/* สไตล์สำหรับ Block พิเศษ */
.block--modifier { }
<br />
/* สไตล์สำหรับ Element พิเศษ ภายใน Block */
.block__element--modifier { }
<br />
/* สไตล์สำหรับ Element ต่างๆ ภายใน Block พิเศษ */
.block--modifier__element { }

ส่วนรายละเอียดทั้งหมดลองตามไปอ่านกันได้ที่ www.siamhtml.com

โดย Little Bear on 4 ก.ย. 57 23:55

บาง เบา จอ FullHD ที่สำคัญคือ แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 12 ชั่วโมง

Lenovo ออก ThinkPad Helix รุ่นปี 2014, เบากว่าเดิม บางกว่าเดิม แบตอึดกว่าเดิม เป็นอุปกรณ์ 2-in-1 ได้ทั้งแท็บเล็ตและอัลตร้าบุ๊ก

รูปทรงของมันยังเหมือนเดิม แต่จุดต่างจาก ThinkPad Helix รุ่นปีที่แล้วคือ ขนาดบางกว่าเดิม 15%, น้ำหนักเบากว่าเดิม 12%, ซีพียูเปลี่ยนมาใช้ Core M ตัวล่าสุดของอินเทล, แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 12 ชั่วโมง

  • หน้าจอ 11.6 นิ้ว 1920x1080 IPS ความสว่ง 400 nit, มี digitizer รองรับปากกา (ขายแยก)
  • ซีพียู Core M หรือ Core M vPro สำหรับภาคธุรกิจ, จีพียู Intel 4000
  • แรม 4GB/8GB, ความจุตั้งแต่ 128-512GB
  • โหมดแท็บเล็ตมีพอร์ต micro HDMI, microSD, microSIM, USB 3.0
  • โหมดโน้ตบุ๊กมี USB 2.0 หรือ 3.0 แล้วแต่รุ่น
  • กล้อง 2MP/5MP
  • น้ำหนัก 795 กรัม (แท็บเล็ต) ต่อโน้ตบุ๊กแล้วหนัก 1.35 กรัม, มีคีย์บอร์ดรุ่น Pro (เพิ่มแบต) ให้เลือก
  • Windows 8.1 หรือ 8.1 Pro

ราคาเริ่มต้น 999 ดอลลาร์ เริ่มขายเดือนตุลาคมนี้

หรือตัวนี้ Lenovo เปิดตัว Yoga 3 Pro แท็บเล็ตพับจอ 360 องศารุ่นใหม่ บางเบา เข้าใจผู้ใช้มากขึ้น

 คำอธิบายภาพ : yoga3pro3_verge_super_wide

โดย Little Bear on 31 ส.ค. 57 09:07

"หุ้น 10 เด้ง" ของ...ปีเตอร์ ลินช์

โดย : ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์

Bangkokbiznews.com

ในหนังสือ “30 วัน รวยด้วยรายได้ที่ไม่ต้องทำงาน” มีบทความหนึ่งที่ผมชอบมากก็คือ “หุ้น 10 เด้ง ของ ปีเตอร์ ลินช"

โดยลินช์เป็นผู้ที่บริหารกองทุนรวมที่ใหญ่ที่สุดกองหนึ่งของสหรัฐอเมริกาที่มีชื่อว่า ไฟเดลลิตี้ แมกเจลลัน (Fidelity Magellan) ตั้งแต่ปี 2520 จากนั้นลินช์ก็ได้สร้างความฮือฮาให้เกิดขึ้นในวงการตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกา ด้วยการทำให้ผลตอบแทนของกองทุนของเขาออกมาสูงถึง 28 เท่า ภายในระยะเวลา 13 ปี พูดง่ายๆ ก็คือ หากคุณผู้อ่านลงทุนกับนายลินช์ในปี 2520 เป็นเงิน 1 ล้านบาท พอถึงปี 2533 คุณผู้อ่านก็จะได้เงินสูงถึง 28 ล้านบาทโดยลินช์มีเทคนิคในการมองหา “หุ้นสิบเด้ง” ดังนี้ครับ

  1. ชื่อบริษัทฟังแล้ว...น่าเบื่อหน่าย บริษัทที่มีชื่อว่า Crown, Cork and Seal ซึ่งมีความหมายถึง จุกขวด หรือการผนึกฝาต่างๆ เป็นชื่อที่ธรรมดาๆ และน่าเบื่อหน่าย แต่ลินช์จะมองว่า...เป็นข้อดี เพราะผู้คนมักจะไม่สนใจในสิ่งที่...น่าเบื่อหน่าย

  2. ผลิตสินค้าที่...น่าเบื่อหน่าย - บริษัทที่ผลิตสินค้า...ที่น่าเบื่อหน่าย ก็จะสามารถกันคนที่ไม่เฉลียวฉลาดออกไปได้ แต่ลินช์จะชอบมากที่สุดถ้าค้นพบ...บริษัทที่มีชื่อน่าเบื่อหน่าย และยังจะผลิตสินค้าที่น่าเบื่อหน่ายออกมาอีกด้วย

  3. เป็นหุ้นของบริษัทที่ทำอะไรให้คนไม่ชอบ - บริษัทที่คนมักจะไม่ชอบได้แก่ บริษัทที่ทำอะไรเกี่ยวกับความสกปรกหรือขยะ เป็นต้น แค่เริ่มต้นทำในสิ่งที่คนไม่ชอบ...คนที่จะสนใจก็น้อยลงไปแล้ว

  4. เป็นหุ้นของบริษัทที่แตกตัวออกมา - การแตกบริษัทย่อยออกมาจากบริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียงแสดงว่า ผู้บริหารของบริษัทนั้นๆ จะต้องเห็นความสามารถและมีความมั่นใจในบริษัทลูก นอกจากนั้นชื่อเสียงของบริษัทแม่ยังช่วยให้บริษัทลูกมีโอกาสประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นอีกด้วย

  5. เป็นหุ้นที่สถาบันลงทุนไม่ชอบที่จะลงทุนด้วย - หากคุณผู้อ่านค้นพบหุ้นที่ดีตัวใดก็ตามที่สถาบันลงทุนถือไว้น้อยหรือไม่ได้ถือไว้เลย นั่นอาจแสดงว่า...โอกาสกำลังมาแล้ว เพราะคุณสามารถจะซื้อเก็บสะสมมันไว้ได้ก่อนที่...ยักษ์ใหญ่จะลงมาเล่น

  6. เป็นหุ้นที่รู้สึกว่ามีปัญหาบางอย่าง...กำลังคุกคามอยู่ - ปัญหาทางสังคมหลายๆ อย่างก็เคยกระหน่ำไปยังบริษัทดีๆ หลายต่อหลายบริษัท หากปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาชุมชนประท้วง ปัญหามวลชนอื่นๆ สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ “หุ้นดี...ราคาต่ำ”

  7. เป็นบริษัทที่ประสบกับปัญหาขั้นร้ายแรง - ตัวอย่างที่อาจทำให้คุณผู้อ่านได้เห็นภาพง่ายๆ ขึ้นมาหน่อย เช่น การแพ้คดีความครั้งใหญ่ โรงงานระเบิด กระบวนการผลิตที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต สิ่งเหล่านี้มีผลกับราคาหุ้นแทบจะทันที

  8. เป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังจะแย่ - อุตสาหกรรมเหล็ก เป็นอุตสาหกรรมที่หลายคนคิดว่า เป็นอุตสาหกรรมประเภทดวงอาทิตย์ตก นั่นหมายถึงอุตสาหกรรมนี้มีอนาคตที่กำลังจะแย่ลง บริษัทเหล็กของอินเดียที่ชื่อว่า มิตทาลสตีล (Mittal Steel) เป็นบริษัทที่คอยกว้านซื้อบรรดาโรงงานเหล็กทั่วโลกในราคาถูก ทำให้ผลิตสินค้าได้ในต้นทุนที่ต่ำ จึงสามารถทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

  9. เป็นบริษัทที่มีจุดเด่น - พอจะจำกันได้ไหมครับว่า บริษัทที่ผลิตยาไวอากร้า (Viagra) ยาที่ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ของผู้ชายแข็งตัว และทำยอดขายถล่มทลายไปทั่วโลกจากยาตัวนี้มีชื่อว่าอะไร? ใช่แล้วครับ...บริษัทไฟเซอร์ นั่นเอง ยาไวอากร้าได้ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทนี้พุ่งกระฉูดสูงขึ้นไปหลายเด้งทีเดียว หลังจากนั้นมา ยาไวอากร้าเพียงตัวเดียวก็ถือเป็น “รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน” ก้อนมหึมา...ของบริษัทไฟเซอร์ไปโดยปริยาย

  10. ผู้คนต้องซื้อสินค้าของบริษัทนี้เรื่อยๆ - ลินช์จะชอบลงทุนในบริษัที่ทำใบมีดโกน น้ำอัดลม หรือบุหรี่ มากกว่าบริษัทที่ทำของเล่น เพราะผู้คนต้องซื้อมันเป็นประจำ และมีโอกาสน้อยมากที่จะเปลี่ยนแปลงไปใช้สินค้าอย่างอื่นแทน

  11. เป็นบริษัทที่ชอบใช้เทคโนโลยี - ลินช์จะไม่ชอบลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในการแข่งขันทางด้านราคาที่ไม่สิ้นสุด แต่เขาจะเลือกบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีแทน เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตใช้เครื่องคิดเงินที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นต้น

  12. คนในบริษัทกำลังซื้อหุ้นของบริษัทตัวเองอยู่ - ไม่มีสัญญาณอะไรที่จะเด่นชัดไปกว่า คนในบริษัทพากันซื้อหุ้นของบริษัทที่ตนเองทำงานอยู่ สิ่งเหล่านี้บ่งบอกด้วยตัวมันเองอยู่แล้วว่า บริษัทของตนต้องมีผลประกอบการดีแน่ๆ

  13. บริษัทกำลังซื้อหุ้นคืนอยู่ - การซื้อหุ้นของบริษัทตัวเองคืน เป็นสิ่งที่บริษัทจดทะเบียนในเมืองไทยก็เริ่มทำกันเป็นจำนวนมากแล้ว การซื้อหุ้นคืนก็เหมือนกับ...การที่คนในบริษัทกำลังซื้อหุ้นของบริษัทตัวเองอยู่ ซึ่งแสดงถึง บริษัทต้องมีอนาคตที่ดีแน่ และหุ้น...ก็ต้องมีอนาคตที่ดีตามไปด้วย

ตำนานของปีเตอร์ ลินช์ ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหา “หุ้น 10 เด้ง” หรือการทำให้กองทุนของเขาเติบโตขึ้นเป็น 28 เท่าภายในเวลาแค่ 13 ปี ยังเป็นตำนานที่คนรุ่นหลังยังประทับใจอยู่จนถึงปัจจุบัน เพียงแต่...จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถ...ลงทุนได้ยิ่งใหญ่...ในเวลาอันรวดเร็วได้เหมือนกับ..ปีเตอร์ ลินช์

ที่มา ผ่าน รู้ทันหุ้น

611 items|« First « Prev 14 15 (16/62) 17 18 Next » Last »|