Topic List
บัฟเฟตต์เป็นประธานผู้บริหารของบริษัท Berkshire Hathaway ซึ่งก่อตั้งขึ้น 170 ปีแล้วและเคยทำกิจการด้านสิ่งทอเป็นหลักก่อนที่บัฟเฟตต์และหุ้นส่วนจะซื้อกิจการมาดำเนินงานเมื่อปี 2508 บัฟเฟตต์ใช้บริษัทนั้นเป็นทางผ่านการลงทุนในบริษัทอื่นซึ่งทำกิจการหลากหลายอย่างรวมทั้งการประกันภัย หนังสือพิมพ์ ร้านอาหาร ธนาคารและร้านสรรพสินค้า เขาซื้อหลายบริษัทมาควบรวมและซื้อหุ้นของอีกหลายบริษัทเป็นบางส่วน ก่อนที่เศรษฐกิจโลกจะประสบปัญหาและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เริ่มทรุด Berkshire Hathaway มีทรัพย์สินรวมกันเกือบ 300,000 ล้านดอลลาร์ บัฟเฟตต์ประสบความสำเร็จสูงกว่านักลงทุนทั่วไปอย่างต่อเนื่องจนทำให้ราคาหุ้นของ Berkshire Hathaway เพิ่มขึ้นจาก 4 ดอลลาร์ต่อหุ้นเป็น 75,000 ดอลลาร์ในเวลา 40 ปี
มีผู้พยายามค้นหาปัจจัยที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จสูงอย่างน่ามหัศจรรย์นั้น เมื่อหลายปีก่อนมีหนังสือเกี่ยวกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ ชื่อ The Snowball: Warren Buffett and the Business of Life พิมพ์ออกมา แต่กว่าผู้อ่านจะค้นพบปัจจัยที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จก็ต้องอ่านกันนานเพราะหนังสือเล่มนั้นมีความหนาเกือบ 1,000 หน้า ก่อนหน้านั้นมีผู้นำเอาข้อคิดในจดหมายที่เขาเขียนถึงผู้ถือหุ้นในบริษัท Berkshire Hathaway มารวมเป็นหนังสือชื่อ The Essays of Warren Buffett: Lessons for Corporate America ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าหนังสือทั่วไปและยาว 290 หน้า จึงต้องใช้เวลานานกว่าจะอ่านจบ เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา Michael Brush สรุปแนวคิดของบัฟเฟตต์ออกมาเป็น 10 ข้อเผยแพร่ไปตามสื่อต่าง ๆ ขอนำมาเล่าสู่กันเพราะมันน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ หรือมีเวลาไปเสาะหาหนังสือและต้นฉบับมาอ่านเอง
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=57852
เปลือยชีวิตลงทุน พ่อหนุ่มนักเขียนเรื่อง Out of My Mind on Investment “ปราการ สมใจเพ็ง” จากทุน 5 หมื่นบาท ขึ้นแท่นเจ้าของพอร์ต “หลักสิบล้าน"
“ลองคุยกับนักลงทุนคนนี้ดูนะ เขาเป็นคนเขียนหนังสือเรื่อง Out of My Mind on Investment วิธีคิดของเขาน่าสนใจทีเดียว” “โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง" นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของนามแฝง "โจ ลูกอีสาน" แนะนำให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ไปทำความรู้จัก “เปา-ปราการ สมใจเพ็ง” เจ้าของนามแฝง Out of My Mind ตามคำร้องขอ
ร้านกาแฟชื่อดังระดับโลก ย่านเรียบทางด่วน รามอินทรา คือ จุดนัดพบ “เปา-ปราการ” เดินเข้ามาในร้านพร้อมภรรยา มือข้างหนึ่งถือหนังสือเรื่อง Out of My Mind on Investment เล่ม 1 ติตตัวมากด้วย “คงไม่ได้นั่งคุยด้วย เปาคุยเก่งอยู่แล้ว ยิ่งคุยเรื่องการลงทุนคงยาว” หญิงคู่ใจ “เปา” เอ่ยปากเพื่อขอตัวไปธุระ
หนังสือเล่มนี้จะวางขายเฉพาะใน Facebook ชื่อ Out Of My Mind on Value Investment ยอดพิมพ์ครั้งแรก 1,000 เล่ม ราคาเล่มละ 200 บาท ตอนนี้น่าจะเหลือประมาณ 200 เล่ม ตั้งใจจะพิมพ์เล่ม 2 เร็วๆนี้ เนื้อหาจะเข้มข้นกว่าเล่มแรกมาก เล่มแรกออกแนวอ่านง่ายๆ เพราะหนังสือเล่มนี้ทำให้มีโอกาสได้คุยกับ “โจ ลูกอีสาน” ผ่านตัวหนังสือมากกว่าเจอตัวเป็นๆ
ชื่อของน.พ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม โด่งดังขึ้นมาในราวต้นปี 2545 หลังจากที่เขาเข้ากว้านซื้อหุ้น บล.ซีมิโก้ จำนวน 5.095 ล้านหุ้น จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10.87% และใช้เวลาเพียงวันเดียวขายหุ้นทั้งหมดออกจากพอร์ต
จากนั้นชื่อของ น.พ.ยรรยง ก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสร้างราคาหุ้นของหลายบริษัท กระทั่งมีข่าวอีกว่าหมอใช้ “นอมินี” เข้าซื้อหุ้น บล.ยูไนเต็ด ร่วมกับ นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือ “เสี่ยปู่” และเพื่อนร่วมก๊วนจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 14% ในโบรกเกอร์แห่งนี้
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้คนในแวดวงตลาดหุ้นตั้งคำถามว่า ชายผู้นี้เป็นใคร?…มาจากไหน?
นักเลงหุ้นคนนี้มีความน่าสนใจมากกว่าการเป็นแค่ “นักเสี่ยงโชค”
ASP Strategic Move ปรับหมากกลยุทธ์ 5 มีนาคม 2557
หลังจากที่มีการรายงานงบปี 2556 เสร็จสิ้นผลปรากฏว่าในปี 2556 ตลาดหุ้นไทยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 777,293 ล้านบาท (กำไรสุทธิของต่อหุ้น หรือ EPS อยู่ที่ 90.05 บาท) เพิ่มขึ้นเพียง 5.8%yoy ต่ำกว่าที่คาดหมายเล็กน้อย เนื่องจากปี 2556 ทาง ASP ได้มีการปรับลดประมาณการกำไรตลาดไปแล้วถึง 3 ครั้ง (ไม่รวมที่ได้มีการปรับลดกำไร หุ้นที่อิงการเติบโตในประเทศ (Domestic Play) ในช่วงม.ค. ปี 2557 ที่ผ่านมา) โดยพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไร เติบโตมากกว่าตลาด นำโดยกลุ่มประกันภัย เพิ่มขึ้น 210%ตามมาด้วย ท่องเที่ยว/โรงแรม 174% อาหาร 89% วัสดุก่อสร้าง 40% อสังหาฯ 36%, เกษตร 23%, ธนาคารพาณิชย์ 24% สื่อสาร 16% และ ชิ้นส่วน 10% ตรงกันข้าม กลุ่มที่มีเติบโตน้อยกว่าตลาด ซึ่งส่วนใหญ่กำไรมีการหดตัวจากปี 2555 คือ ขนส่ง ลดลง 51% และการแพทย์ ลดลง 13% พลังงาน ลดลง 9% รถยนต์ ลดลง 8% และ ปิโตเคมี ลด 7%และ บันเทิง เพิ่มขึ้น 1% โดยรวมส่งผลให้ เติบโต 5.78% จากปี 2555
หลังจากนั่งพิจารณาดูแล้ว ก็ยังงงงงงงอยู่ดี
- RSI over 66.67 ratio of up to down is 2 to 1
- RSI below 33.33 ratio of down to up is 2 to 1
แนะนำ
- Must Trade Trending Stocks มองหาหุ้นที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง คือ ราคา > EMAสำคัญ
- มองหาระดับ RSI 33.33 & 66.67 เพื่อให้เราอยู่ฝ่ายเดียวกับตลาด
ตลท. แจ้งเตือน 24 บจ. มีปัญหาฐานะการเงินเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน ระยะที่ 3 จี้เร่งแก้ไขภายใน มี.ค. 57
- ABICO บริษัท เอบิโก้ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
- APX บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
- BRC บริษัท บางกอกรับเบอร์ จำกัด (มหาชน)
- CAWOW บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน)
- CIRKIT บริษัท เซอร์คิทอีเลคโทรนิคส์อินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน)
- CPICO บริษัท เซ็นทรัลอุตสาหกรรมกระดาษ จำกัด (มหาชน)
- DTM บริษัท ดาต้าแมท จำกัด (มหาชน)
- ITV บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน)
- KTECH บริษัท เค-เทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
- MPG บริษัท แมงป่อง 1989 จำกัด (มหาชน)
- NFC บริษัท ปุ๋ยเอ็นเอฟซี จำกัด (มหาชน)
- PATKL บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน)
- PICNI บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
- POMPUI บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน)
- SAFARI บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน)
- SECC บริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
- SGF บริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน)
- SUN บริษัท ซันวู้ดอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน)
- TPROP บริษัท ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
- TRS บริษัท ตรังผลิตภัณฑ์อาหารทะเล จำกัด (มหาชน)
- TT&T บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน)
- VGM บริษัท วีจีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
- WORLD บริษัท เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
- WR บริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน)
คำสอนของศาสดา : การคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ - ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เบน เกรแฮม บิดาของ Value Investment เขียนหนังสือ บทความ และสอนลูกศิษย์เกี่ยวกับการลงทุนมากมาย ต่อไปนี้คือหลักการสำคัญๆ 10 ข้อ ที่ Value Investor ควรจดจำและพิจารณานำไปปฏิบัติ
ข้อแรก จงเป็นนักลงทุนอย่างเป็นนักเก็งกำไร โดยคำจำกัดความของนักเก็งกำไรก็คือคนที่แสวงหากำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ส่วนนักลงทุนก็คือคนที่ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของบริษัทและขายเมื่อหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินมูลค่าที่แท้จริง
ข้อสอง การคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ มีสูตรคือ
มูลค่าของหุ้น = EPS (8.5 + 2 X G)
โดย EPS คือกำไรต่อหุ้น ส่วน G คืออัตราการเจริญเติบโตของกำไรต่อหุ้นต่อปีโดยคิดเฉลี่ยไป 7 - 10 ปีในอนาคต ตัวอย่างเช่น หุ้น ก. มีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 2 บาทและเราคาดว่ากำไรต่อหุ้นนี้จะโตปีละ 5% โดยเฉลี่ยตลอด 10 ปีข้างหน้า มูลค่าของหุ้นจะเท่ากับ 2(8.5 + 2 X 5) หรือเท่ากับ 37 บาท
ข้อสาม จงรู้ว่ากิจการมีราคาเท่าไร สิ่งนี้ทำได้โดยเอาราคาหุ้นคูณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่หรือที่จะมีเนื่องจากการแปลงสภาพหรือใช้สิทธิของวอแรนต์ พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเราจะเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมดคนเดียวจะต้องจ่ายเงินซื้อในราคาเท่าไร
ข้อสี่ จงตระหนักว่าเราไม่สามารถคำนวณมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างแม่นยำ เพราะฉะนั้นจะต้องมีการ ?เผื่อ? การผิดพลาดหรือจะต้องมี Margin of Safety ในการซื้อหุ้น นั่นก็คือต้องซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่คำนวณได้ไม่ต่ำกว่า 20%
ข้อห้า ต้องกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เม็ดเงินที่จะลงทุนในหุ้นควรจะอยู่ระหว่าง 25 ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือควรเป็นพันธบัตรหรือเงินสดขึ้นอยู่กับภาวะตลาดว่าหุ้นมีค่า PE ของตลาดสูงหรือต่ำหรือมีการจ่ายปันผลสูงหรือต่ำเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร การซื้อหุ้นเองก็ควรซื้อหุ้นกระจายอย่ามีหุ้นที่ ?หนักพอร์ต? ควรมีหุ้นอย่างน้อย 30 ตัว (คำสอนข้อนี้จะแตกต่างจากแนวของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ถือหุ้นน้อยตัวกว่ามาก)
ข้อหก หุ้นที่จ่ายปันผลต่อเนื่องยาวนานจะมีความเสี่ยงต่ำ คำว่ายาวนานสำหรับเบน เกรแฮม คือ 20 ปีขึ้นไป เขาเห็นว่าการดูแลผู้ถือหุ้นที่ดีที่สุดก็คือการที่บริษัทจ่ายปันผลในอัตราที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้น ส่วนบริษัทที่จ่ายปันผลน้อยนั้นนอกจากจะทำให้ผู้ถือหุ้นขาดรายได้จากการลงทุนแล้ว ราคาหุ้นยังมักจะไม่ค่อยวิ่งไปไหน
ข้อเจ็ด เมื่อเกิดความสงสัยให้ยึดคุณภาพ เพราะบริษัทที่มีกำไรดี มีการจ่ายปันผลแน่นอนสม่ำเสมอ มีหนี้น้อย มีค่า PE ที่สมเหตุผลจะปลอดภัยกว่าหุ้นที่มีคุณภาพต่ำ เบนเกรแฮมพูดว่า นักลงทุนจะไม่ผิดพลาดหรือเจ็บตัวหนักจากการซื้อหุ้นคุณภาพดีในราคาที่ยุติธรรม แต่เขาจะเสียหายมากจากการซื้อหุ้นเน่าโดยเฉพาะที่ถูกปั่นทำราคาด้วยวิธีการต่างๆ และบ่อยครั้งอยู่เหมือนกันที่เขาตัดสินใจผิดพลาดโดยการไปซื้อหุ้นของกิจการที่ดีแต่ไปซื้อในช่วงที่ตลาดบูมเป็นกระทิงเปลี่ยวซึ่งทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นไปถึงยอดดอย
ข้อแปด ระวังตัวเลขข้อมูลจากบริษัท เนื่องจากข้อมูลกำไรของบริษัทและการคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคตเป็นสิ่งที่จะทำให้ราคาหุ้นวิ่ง ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้อาจจะถูกตกแต่งให้ดูดีกว่าความเป็นจริง หรือสร้างภาพให้ดีเกินกว่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้น ควรศึกษาให้ลึกซึ้งเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร
ข้อเก้า จงอดทน เบน เกรแฮม พูดว่า นักลงทุนทุกคนควรเตรียมตัวเตรียมใจในการรับกับภาวะที่ตลาดตกต่ำในบางช่วงเวลาสั้นๆ ปีหรือสองปี ซึ่งเขาอาจจะขาดทุน เป็นตัวเลข แต่ถ้าเขาไม่ขายและถือหุ้นต่อไป เขาก็มักจะได้เงินคืน โดยทั่วไปแล้วถ้าถือหุ้นตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป โอกาสได้กำไรในอัตราที่เหมาะสมจะมีสูง
ข้อสิบ คิดเอง อย่าซื้อขายหุ้นตามแห่ เบนบอกว่ามีเงื่อนไขสองประการในการที่จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น ข้อหนึ่งคือคุณจะต้องคิดอย่างถูกต้อง และข้อสองคุณจะต้องคิดเอง อย่าเชื่อคนอื่น
คำสอนของเบน เกรแฮม มีมานานแล้ว สานุศิษย์ของเบน เกรแฮม ที่ประสบความสำเร็จสูงต่างก็นำมาประยุกต์ใช้และแนะนำสั่งสอนนักลงทุนรุ่นใหม่ต่อกันมานานจนหลายๆ เรื่องเราคิดว่าเป็นความคิดของคนที่พูด แต่เมื่อศึกษาย้อนกลับไปจะพบว่าพื้นฐานนั้นมาจากหนังสือหรือคำสอนของเบน เกรแฮม ที่อาจจะ ซึม เข้าไปอยู่ในความคิดของลูกศิษย์อย่างไม่รู้ตัว คำสอนสิบข้อนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นใน คัมภีร์ไบเบิล จากศาสดาที่ชื่อว่า เบน เกรแฮม
ที่มา www.stock2morrow.com
หลักการเลือกหุ้นของ จอห์น เนฟฟ์
- มีค่าอัตราส่วน P/E ต่ำ
- มีอัตราเติบโตของกำไรสูงกว่า 7%
- มีการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอด (แสดงถึงการสามารถนำกำไรที่มากขึ้นมาทำให้เกิดประโยชน์ในการขยายกิจการ)
- ผลตอบแทนที่ได้รับจะต้องสูงกว่าค่าอัตราส่วน P/E (เช่นหากค่า P/E เป็น 5 จะต้องมีผลตอบแทนมากกว่า 5%)
- ต้องเป็นธุรกิจขาขึ้นของรอบ (ถ้าเป็นรอบ) หรือหากเป็นขาลง จะต้องมีค่า P/E ที่ต่ำมากพอต่อความเสี่ยงในขาลงของมัน
- มีการเติบโตที่แข็งแรง (คือโตแล้ว ยืนอยู่ได้ ไม่ใช่ขึ้นๆ ลงๆ ล้มๆ ลุกๆ)
- มีพื้นฐานแข็งแกร่ง (อันนี้ต้องวิเคราะห์ธุรกิจด้วย)
คราวนี้มาดูว่า จอห์น เนฟฟ์ จะตัดสินใจขายหุ้นเมื่อใด
- พื้นฐานเปลี่ยนไปในทางที่เลวลง จนอาจจะเกิดผลกับการดำเนินงานในอนาคต
- เมื่อราคาเพิ่มสูงขึ้นถึงจุดที่กำหนดไว้
- ดูการเติบโต (ราว 4-5 ปีต่อเนื่องกัน) หากถดถอยลงก็พิจารณาขาย
เคล็ดลับการลงทุน
วิธีการหาหุ้นเพื่อลงทุน เนฟฟ์จะมองหุ้นที่
- ราคาทำนิวโลว์ หรือราคาตกต่ำลงมามากๆ เพราะข่าวร้าย เมื่อพบแล้วก็มาพิจารณาโดยใช้หลักการเลือกหุ้น 7 ข้อ ของเขา หากเห็นว่าธุรกิจยังดี สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ ราคาน่าลงทุน ค่าสัดส่วนต่างๆ ยังดีอยู่ ก็อาจจะพิจารณาซื้อไว้ได้
- อย่าไล่ตามหุ้นที่มีการเติบโตสูงที่หลายคนสนใจ อัตราส่วนP/Eที่สูงขึ้นจะผลักดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นจนถึงระดับที่น่าตกใจ และเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง
- มองที่อัตราส่วน GYP ของพอร์ตของเราเป็นหลัก หากของตลาดดีกว่าก็ถือเงินสดไว้บ้างเพื่อรอซื้อเมื่อโอกาสอำนวย
- โอกาสซื้อดี ๆ มักจะเกิดหลังจากการตื่นตระหนก (Panic Sell) ของตลาด
- ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม คุณก็ต้องยอมเต็มใจยอมปล่อยวางวิธีคิดและการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แล้วนำวิธีคิดแบบใหม่เข้ามาสู่ชีวิต แล้วคุณจะประจักษ์ถึงผลที่ตามมาในที่สุด
- โลกภายนอกของคุณเป็นเพียงเสียงสะท้อนของโลกภายในเท่านั้น ถ้าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นนอกตัวคุณไม่ได้เป็นได้ด้วยดี นั่นเป็นเพราะสิ่งต่างๆภายในตัวคุณก็ไม่ได้เป็นไปด้วยดีเช่นเดียวกัน
- ความคิดนำไปสู่ความรู้สึก ความรู้สึกนำไปสู่การกระทำ การกระทำนำไปสู่ผลลัพธ์
- เงินเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทุกเรื่องที่ต้องใช้เงิน ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่มีความสำคัญแม่แต่นิดเดียวสำหรับทุกเรื่องที่ไม่ต้องใช้เงิน
- เมื่อคุณบ่น คุณกำลังกลายร่างเป็น “แม่เหล็กดึงดูดความเลวร้าย” ที่มีชีวิต
- จำไว้ว่าคุณเป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตทางการเงินของตัวคุณเอง ว่าจะมั่งคั่ง ถังแตก หรือมีฐานะในระดับใดก็ตาม
- เหตุผลอันดับแรกที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร
- ถ้าคุณไม่มุ่งมั่นกับการสร้างฐานะอย่างเต็มตัวและสุดหัวใจ คุณก็จะไม่มีโอกาสร่ำรวย
- การคิดเล็กและทำแต่เรื่องเล็กจะนำไปสู่การสิ้นเนื้อประดาตัวและความไม่พอใจในตนเอง ส่วนการคิดใหญ่และทำการใหญ่จะนำไปสู่การมีพร้อมทั้งเงินและความหมายในชีวิต คุณเลือกเอาได้ตามใจ!
- ไม่มีทางที่โชค หรือสิ่งอื่นใดที่มีค่า จะมาถึงตัวคุณได้เลยถ้าคุณไม่ลงมือทำการใดๆ (เพื่อเตรียมตัวรับโชคหรือสิ่งนั้นๆ)
- คนรวยให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ ส่วนคนจนให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ
- คนรวยมองเห็นโอกาส กระโจนใส่มัน และร่ำรวยยิ่งขึ้น แล้วคนจนล่ะ มัวทำอะไรอยู่? พวกเขาก็ยัง“เตรียมตัว”อยู่นะสิ!
- คนรวยมักเป็นผู้นำ และผู้นำที่ยิ่งใหญ่ล้วนแต่เป็นนักโปรโมทที่ยอดเยี่ยม การเป็นผู้นำที่ย่อมมีผู้ตามและผู้สนับสนุน นั่นหมายความว่าคุณต้องช่ำชองด้านการขาย การสร้างแรงบันดาลใจ และการจูงใจให้ผู้คนเชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ
- ถ้าคุณเชื่อว่าสิ่งที่คุณมีสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง หน้าที่ของคุณก็คือการบอกให้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้รับรู้ และวิธีนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณช่วยเหลือคนอื่นได้เท่านั้น แต่คุณยังจะร่ำรวยอีกด้วย!
- เคล็ดลับสู่ความสำเร็จไม่ใช่การพยายามหลีกเลี่ยง ปัดหรือหันหลังให้กับปัญหา สิ่งที่คุณต้องทำคือ การพัฒนาตนเองให้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆปัญหา
- ถ้าคุณบอกว่าคุณมีค่า คุณก็มีค่า ถ้าคุณบอกว่าคุณไร้ค่า คุณก็ไร้ค่า ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จะดำเนินชีวิตไปตามเรื่องราวที่คุณแต่งขึ้นเอง
- คนจนแลกเวลากับเงิน กลยุทธ์นี้มีปัญหาเพราะเวลาของคุณมีอยู่อย่างจำกัด นั่นหมายความว่าคุณกำลังแหกกฎแห่งความมั่งคั่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งระบุว่า “อย่าให้มีเพดานจำกัดรายได้ของคุณ”
- มาตรวัดความมั่งคั่งที่แท้จริงคือมูลค่าทรัพย์สิน ไม่ใช่รายได้จากการทำงาน
- ถ้าคุณไม่ควบคุมเงินของคุณ มันก็จะควบคุมคุณ การจะควบคุมเงินของคุณ คุณต้องรู้จักบริหารเงิน
- อิสรภาพทางการเงิน คือ ความสามารถที่จะดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ต้องการโดยไม่ต้องทำงานหรือพึ่งพาคนอื่นในเรื่องเงิน
- คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินเมื่อรายได้งอกเงย (รายได้จากทรัพย์สินหรือธุรกิจที่ทำงานแทนคุณและสร้างรายได้ด้วยตัวของมันเอง) ของคุณมีจำนวนมากกว่ารายจ่าย
- คนจนทำงานหนักและใช้เงินทั้งหมดที่มาหาได้ พวกเขาจึงต้องทำงานหนักตลอดไป ส่วนคนรวยทำงานหนัก สะสมเงิน และนำไปลงทุน พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีก
- ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ที่สุดของคนส่วนใหญ่ คือ การรอให้ความกลัวลดน้อยลงหรือจางหายไปก่อนจะเริ่มลงมือทำ(บางสิ่งบางอย่างไปสู่ความมั่งคั่ง) และคนเหล่านี้ก็มักลงเอยด้วยการนั่งรอตลอดไป
- คนรวยและผู้ที่ประสบความสำเร็จก็มีความกลัว ความไม่แน่ใจ และความกังวลเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาหยุดยั้งตนเอง
- ความสุขไม่ได้มาจากการใช้ชีวิตอย่างสบายๆไปวัน พร้อมๆกับนึกสงสัยตลอดเวลาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง แต่ความสุขเกิดจากการเติบโตตามอัตราการเติบโตที่ควรจะเป็นและการใช้ชีวิตด้วยศักยภาพสูงสุดของตัวเรา
- การฝึกฝนและบริหารความคิดของคุณเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดที่คุณควรมีไว้ครองครอง เพื่อให้บรรลุความสุขและความสำเร็จ
- น้อยคนนักจะรู้ว่าวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการสร้างและรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ก็คือ การพัฒนาตัวคุณเอง เพื่อให้คุณเติบโตเป็นคนที่ “ประสบความสำเร็จ”
- คนจนและชนชั้นกลางส่วนใหญ่เชื่อว่า “ถ้าฉันมีมากๆ ฉันก็จะสามารถทำในสิ่งที่ฉันต้องการและเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้” ส่วนคนรวยเข้าใจว่า “ถ้าฉันกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ฉันจะสามารถทำในสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำเพื่อให้มีสิ่งที่ฉันต้องการ รวมไปถึงจำนวนเงินมากๆด้วย” 29.คนรวยคือผู้เชี่ยวชาญในงานที่ตัวเองทำ ชนชั้นกลางคือพวกที่ทำงานของตัวเองได้ดีในระดับปานกลาง และคนจนคือพวกที่ทำงานของตัวเองไม่ได้เรื่องเลย
- การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างถาวรนั้น มันต้องเกิดขึ้นในระดับที่ลึกซึ้ง....เครือข่ายในสมองคุณต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ นั่นหมายความว่าคุณต้องนำมันไปปฏิบัติจริง อย่าเพียงแต่อ่าน อย่าเพียงแต่พูดถึงมัน และอย่าเอาแต่คิด จงลงมือทำจริงๆ
Cr. Thanachok Loketkawe ^^ lucky eiei
ที่มา รู้ทันหุ้นบ่าย